หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

7 สิ่งที่แม่ท้องได้ประโยชน์จากการใช้อินเตอร์เน็ต

7 สิ่งที่แม่ท้องได้ประโยชน์จากการใช้อินเตอร์เน็ต



การใช้อินเตอร์เน็ต ช่วยอะไรคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ได้บ้าง มีความจำเป็นกับคุณแม่ตั้งครรภ์มากแค่ไหน.. ปกติแล้วคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ใช้งานอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้างนอกจากเรื่องงาน มาดูกันค่ะ ว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตของแม่ท้องมีประโยชน์แค่ไหน?
     1.   เป็นคู่มือแนะนำการตั้งครรภ์ที่ดี และมีความหลากหลายของข้อมูล ส่วนมากจะเป็นการหาข้อมูลเล็กๆน้อยที่เกิดขึ้นกับตัวเองขณะตั้งครรภ์
      2.   ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการตั้งครรภ์ได้รวดเร็วไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่หาเองหรือกระทู้ที่ตั้งคำถามไว้กับเว็บไซด์ต่างๆ
      3.   ช่วยให้คุณแม่ท้องมีรายได้ แน่นอนว่าคุณแม่ท้องบางคน อาจมีอาการแพ้ท้องหนัก ไม่สามารถทำงานได้เต็มเวลา แต่ถ้ามีเวลาว่างเพียงเล็กน้อยก็สามารถหารายได้จากการใช้อินเตอร์เน็ตได้ดีเลยทีเดียว โดยคุณแม่ก็ได้พักผ่อนอย่างเพียงพออีกด้วย
      4.   มีข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเรื่องการตั้งครรภ์ให้คุณแม่ได้ศึกษาอย่างไม่มีขีดจำกัด
      5.   มีข้อมูลเกี่ยวกับการทานอาหารสำหรับคนท้องมากมาย ทั้งของที่กินได้และของที่ไม่สมควรกิน ซึ่งเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องที่คุณแม่ให้ความสนใจมากที่สุดในการตั้งครรภ์และหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตค่ะ
      6.  ให้ความบันเทิงกับคุณแม่ได้มากที่สุด เพราะคุณแม่ท้องบางคนชอบที่จะนั่งๆนอนๆอยู่แต่บนเตียงหรือบริเวณรอบๆบ้าน คุณแม่ที่ชอบหาความบันเทิงกับการใช้อินเตอร์เน็ตสามารถปล่อยเวลาไปกับมันได้ทั้งวัน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านนิทาน สามารถทำสิ่งเหล่านี้ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น
      7.   การใช้อินเตอร์เน็ตจะไม่ทำให้คุณแม่โดดเดี่ยว เพราะโลกออนไลน์ จะมีเหล่าบรรดาคุณแม่เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากมาย จะไม่ทำให้คุณแม่เหงา หรือเหมือนอยู่ตัวคนเดียวนั่นเองค่ะ
การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้คุณแม่ท้องได้ประโยชน์หลายอย่าง แต่เมื่อเกิดอาการที่แปลกๆเกี่ยวกับทารกในครรภ์และไม่แน่ใจ คุณแม่ก็ควรจะไปหาหมอโดยตรงดีที่สุดนะคะ


15 วิธีคุมกำเนิด... ที่คุณเลือกได้

15 วิธีคุมกำเนิด... ที่คุณเลือกได้



              1. ถุงยางอนามัย เป็นวิธีคุมกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุด และยังเป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย ทั้งนี้ความปลอดภัยในการคุมกำเนิดก็ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้กระนั้นก็ตามก็ยังมีคนใช้ผิดวิธีหรือใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพต่ำหรือหมดอายุที่พบบ่อยคือการสวมถุงยางอนามัยตอนใกล้จะหลั่งคือไม่ใช้ตั้งแต่ต้นก็จะเกิดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ได้เนื่องจากน้ำหล่อลื่นในช่วงแรกก็อาจมีเชื้ออสุจิออกมาแล้ว

            2. ยาคุมกำเนิด มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจน (Gestagen) ฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้จะป้องกันไม่ให้ไข่ตก และเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกให้ไม่เหมาะแก่การฝังตัว ทั้งนี้ต้องกินยาคุมกำเนิดติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์และหยุดพักหนึ่งสัปดาห์ที่จะมีประจำเดือนในช่วงนั้นวิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก และยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ด้วยแต่อาจทำให้ผู้หญิงที่สูบบุหรี่เกิดโรคโลหิตหรือน้ำเหลืองคั่งได้ทำให้อารมณ์เพศลดลง และอาจทำให้ผู้หญิงเกิดโรคลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือด(Deep Vein Thrombosis DVT) ซึ่งพบบ่อยในชาวตะวันตกปัจจุบันเริ่มพบมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนไปแบบตะวันตก เช่น กินอาหารแบบตะวันตก และออกกำลังกายน้อยลง
            3. ยาคุมกำเนิด Desogestrel และ Levonorgestrel มีเพียงฮอร์โมนเจสตาเจนเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้ไข่ตกและป้องกันไม่ให้สเปิร์มผ่านเข้าไปในมดลูกซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากและยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนด้วยแต่ต้องกินยานี้ทุกวัน ข้อเสียคือ ทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะแรกของการใช้ ส่วนมากจะใช้ในกรณีตลอดบุตรใหม่ ๆและต้องการให้นมบุตรแต่ถ้าเราใช้ยาคุมกำเนิดทั่ว ๆไปที่รวมเจสตาเจนและโปรเจสเตอโรน (ดีในแง่ของการยับยั้งการตกไข่)ก็มีข้อเสียคือทำให้น้ำนมน้อยลง จึงควรใช้ยาคุมกำเนิด Desogestrelซึ่งมีเจสตาเจนอย่างเดียว คือทั้ง Desogestrel และ Levonorgestrelเป็นกลุ่มเจสตาเจนในระยะแรก จะมีเลือดออกกะปริดกะปรอยสักระยะหนึ่งแล้วก็หายอาจใช้ในกรณีหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ และต้องการให้นมบุตร
           4. ยาคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์ เป็นยาที่มีความแรงของตัวยาและต้องให้แพทย์สั่งในกรณีฉุกเฉิน เช่นมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจไม่ได้ป้องกันหรือมีความเสี่ยงกับการตั้งครรภ์ที่มีไม่พึงปรารถนา ยานี้ต้องกินภายใน 72ชม. หลังการมีเพศสัมพันธ์ยิ่งกินยาได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะปลอดภัยมากเท่านั้นวิธีคุมกำเนิดวิธีนี้ไม่ค่อยแนะนำให้ใช้เพราะเนื่องจากจะมีอากรข้างเคียงมาก อีกทั้งประสิทธิภาพไม่ดีพออาการข้างเคียงก็อย่างเช่น ทำให้ตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
            5. คุมกำเนิดแบบฉีด 3 เดือน เป็นยาฉีดที่มีฮอร์โมนเจสตาเจนโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่สะโพก หรือต้นแขนมีผลควบคุมไม่ให้ตั้งครรภ์ได้ 3เดือน มีความปลอดภัยในการคุมกำเนิดสูง และช่วยลดอาการปวดท้องระหว่างมีรอบเดือน แต่เป็นยาที่มีฮอร์โมนสูง จึงต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ยานี้เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ระยะแรกของการฉีดอาจมีประจำเดือนกะปริดกะปรอยแต่ไม่เป็นอันตราย เมื่อฉีดไปสักระยะ อาจไม่มีประจำเดือนเลยซึ่งทั้งสองอาการนี้ไม่ได้เป็นอันตรายใด ๆเป็นอาการที่พบได้จากการใช้วิธีนี้
            6. ฝังไว้ที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติก มีขนาดเท่าไม้ขีด มีฮอร์โมนเจสตาเจนโดยใช้การใส่เข้าไปที่ต้นแขนใต้ผิวหนังของผู้หญิงป้องกันไข่ตกและป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปในรังไข่ หลังจาก 3 ปีก็ให้แพทย์เอาออก เป็นวิธีที่ปลอดภัยแต่วิธีนี้อาจทำให้มีแผลเป็นเล็ก ๆและมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระยะแรกเมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็จะหาย
            7. การใส่ห่วง เป็นห่วงที่ทำจากพลาสติกขนาดเล็กและมีขดลวดทองแดงเล็กๆ (Copper-T)พันรอบห่วง ใช้สำหรับคุมกำเนิดอย่างเดียวโดยผู้หญิงจะใส่ห่วงในช่วงมีรอบเดือน เพราะใส่ง่าย มีอายุคุมกำเนิดได้ถึง 5ปี เป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและเจสตาเจนน้อย สามารถคุมกำเนิดได้ 5 ปีและอาจพบแพทย์ระยะแรกเพื่อตรวจห่วงมีจำหน่ายในประเทศเยอรมนีตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2003ส่วนห่วงอีกชนิดหนึ่งเป็นห่วงที่มีฮอร์โมนเจสตาเจนใช้ได้ทั้งคุมกำเนิดลดอาการปวดประจำเดือนและอาการประจำเดือนมามากที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของมดลูกบางชนิด


            8. การวัดฮอร์โมนตกไข่ เป็นวิธีทดสอบปัสสาวะของผู้หญิง โดยการใช้แท่งตรวจจุ่มลงไปในปัสสาวะเพื่อตรวจสอบฮอร์โมนในปัสสาวะและคำนวณวันที่ไข่จะตกแต่เป็นวิธีที่ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะวัดเพียงไม่กี่วันของแต่ละเดือนส่วนใหญ่ใช้ในกรณีต้องการมีบุตรมากกว่าคือรู้วันตกไข่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ให้ตรงวัน
            9. การวัดอุณหภูมิ เพื่อความมั่นใจในการคุมกำเนิด จำเป็นต้องหมั่นวัดอุณหภูมิร่างกายทุกวันในช่วงเวลาเดียวกันและในตำแหน่งเดิม เพื่อจะได้รู้วันไข่ตกที่แน่นอนเพราะในระยะหนึ่งถึงสองวันหลังไข่ตก อุณหภูมิของร่างกายจะขึ้นสูงมากกว่า0.2 องศา ซึ่งนั่นก็คือเป็นที่ปลอดภัย ข้อดีก็คือไม่เจ็บปวดและประหยัด ข้อเสียคือ เหมาะสำหรับผู้หญิงมีรอบเดือนสม่ำเสมอและไม่มีไข้เท่านั้น
            10. นับวันจากปฏิทิน เป็นวิธีที่ผู้หญิงต้องมีปฏิทินประจำตัว เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกเหมาะกับผู้หญิงที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอ (28 วัน)แต่ช่วงไข่ตกก็ต้องใช้วิธีอื่นคุมกำเนิด โดยเฉลี่ยของการผิดพลาดคือ 9คนจาก 100 คนที่พลาดจนเกิดการตั้งครรภ์
            11. สังเกตมูกจากปากมดลูก เป็นวิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติและเป็นวิธีที่ประหยัดโดยผู้หญิงต้องสังเกตมูกตกขาวจากปากมดลูก (Cervical Mucus)ทุกวันและจดโน้ตไว้เพื่อดูวันที่ไข่ตก และในระหว่างที่มีการตกไข่ก็ต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น แต่อาจคลาดเคลื่อนได้หรือแปลผลผิด เช่นในกรณีที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบของช่องคลอด
            12. วิธีคุมกำเนิดแบบ Sympto Thermal เป็นวิธีคุมกำเนิดอย่างธรรมชาติ โดยการผสมผสานระหว่างอุณหภูมิและการสังเกตมูกตกขาววิธีนี้ค่อนข้างปลอดภัยถ้าผู้หญิงหมั่นสังเกตตัวเองแต่ถ้ามีไข้หรือมีการอักเสบของช่องคลอด ก็จะทำให้แปลผลผิดได้และระหว่างวันที่ไข่ตกก็จะต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
            13. Coitus lnterruptus เป็นวิธีที่ฝ่ายชายหลั่งอสุจิข้างนอกหลังการมีเพศสัมพันธ์ แต่สเปิร์มอาจเล็ดลอดออกไปได้ก่อนหน้านั้น จึงไม่แนะนำเพราะไม่ปลอดภัยจากสถิติผู้หญิง 100 คน มีจำนวน 4-18 คนที่ผิดพลาดจนตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้
            14. การทำหมันชาย วิธีนี้ใช้การผ่าตัดเพียงนิดเดียวในผู้ชายเพื่อตัดท่ออสุจิ เหมาะกับผู้ชายที่ไม่ต้องการมีลูกอีก ป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูง
            15. การทำหมันหญิง คือกรรมวิธีการตัดบางส่วนหรือแยกท่อนำไข่ออกจากกันทั้ง 2 ข้างทำให้ไม่เกิดการปฏิสนธิ การแก้ไขเพื่อให้ท่อนำไข่สู่ภาวะปกติก็ทำได้แต่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องอาศัยการผ่าตัดผ่านกล้องจุลทรรศน์

ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาทำแท้งและการรักษา

ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาทำแท้งและการรักษา


การทำแท้งด้วยยาในระยะ 9 สัปดาห์แรก ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยมาก ความเสี่ยงนี้เทียบเท่ากับเมื่อผู้หญิงมีการแท้งโดยธรรมชาติ และหมอสามารถรักษาได้อย่างง่ายๆ ในหนึ่งร้อยคนที่ทำแท้งด้วยยา มีเพียงสองถึงสามคนที่ต้องไปหาหมอ หรือ โรงพยาบาลเพื่อรับการดูแลต่อเนื่อง
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และการรักษา :
เลือดออกมาก (เกิดขึ้นในราวร้อยละ
1 ของการทำแท้งด้วยยา)
อาการ : เลือดออกมากเป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง(เต็มผ้าอนามัยขนาดแม็กซี่สองแผ่นในหนึ่งชั่วโมงติดต่อกัน 2 ชั่วโมง) อาการมึนงง เวียนหัว อาจเป็นการบ่งบอกว่าเสียเลือดมากเกินไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์
การรักษา: การดูดออก (ขูดมดลูก) และมีโอกาสน้อยมาก (น้อยกว่า 0.2 เปอร์เซ็นต์) ที่ต้องให้เลือด
แท้งไม่สมบูรณ์
อาการ : การตกเลือดอย่างหนักหรือต่อเนื่อง หรือ การปวดท้องมากอย่างต่อเนื่อง
รักษา : การดูด (ขูดมดลูก)
ติดเชื้อ
อาการ : มีไข้ (มากกว่า 38 องศาเซลเซียส) เป็นเวลามากกว่า 24 ชั่วโมง หรือมีไข้มากกว่า 39 องศา เป็นไปได้ว่ามีการติดเชื้อที่ต้องรักษา
การรักษา : ยาปฎิชีวนะ และ/หรือการขูดมดลูก
ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแทรกซ้อน ให้รีบไปหาหมอทันที โดยไม่ต้องบอกว่าคุณพยายามทำแท้ง ขอให้บอกไปเลยว่าคุณเกิดแท้งเอง หมอจะต้องมีหน้าที่ช่วยคุณในทุกกรณีที่คนไข้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการแท้ง
การแท้งเอง และ การใช้ยาทำแท้ง จะมีอาการเหมือนกัน และหมอจะสังเกตไม่เห็น หรือตรวจสอบไม่ได้ว่ามีการทำแท้งมา ตราบเท่าที่ไม่พบตัวยา ถ้าคุณใช้วิธีอมไซโตเทคไว้ใต้ลิ้นอย่างที่เราแนะนำ ยาควรจะละลายหมดไปภายในสามชั่วโมง ถ้าคุณเหน็บยา คุณจะต้องเช็คด้วยนิ้วมือก่อนให้แน่ใจว่ายาละลายไปจนหมดแล้ว 
น้อยกว่าร้อยละ 1% ของผู้หญิงพบว่าตัวเองยังตั้งครรภ์ต่อไป ซึ่งสามารถรู้ได้ด้วยการตรวจปัสสาวะทดสอบการตั้งครรภ์หลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์ หรืออุลตร้าซาวด์หลังจากผ่านไป 10 วัน ถ้าการทำแท้งด้วยยาไม่สำเร็จ แนะนำให้ทำแท้งด้วยยาซ้ำอีกครั้ง หรือ ทำแท้งโดยใช้เครื่องมือ
            การติดเชื้อหลังการทำแท้งด้วยยาเกิดขึ้นได้น้อยมาก ถ้าคุณรู้สึกอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ไข้สูงนานกว่า
24 ชั่วโมง มีอาการปวดท้อง ถ้าท้องของคุณรู้สึกเจ็บ หรือ กดแล้วนุ่ม หรือถ้าคุณตกเลือดเป็นจำนวนมากเป็นเวลานาน หรือถ้าคุณมีน้ำออกจากช่องคลอดที่มีกลิ่นเหม็น คุณอาจจะมีการติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์ทันที การติดเชื้อต้องรักษาด้วยยาปฎิชีวนะ
            ไข้ที่เกิดหลังจากใช้ไซโตเทคและดำรงอยู่น้อยกว่า
24 ชั่วโมง และต่ำกว่า 38 ºC เป็นอาการข้างเคียงตามปกติ แต่ถ้าไข้นานกว่า 24 ชั่วโมง ควรพบแพทย์
            การทำแท้งด้วยยาเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยเมื่อการทำแท้งด้วยเครื่องมือเป็นสิ่งที่อันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิง  ความเสี่ยงของการติดเชื้อเมื่อผู้หญิงคลอดบุตรยังมีมากกว่าเมื่อใช้ยาทำแท้ง


วิธีใช้ยาทำแท้ง

วิธีใช้ยาทำแท้ง

อายุครรภ์ไม่เกิน 9 สัปดาห์ ใช้ยาทำแท้ง 2 ชนิดร่วมกัน (อาร์ยู486 และ ไซโตเทค)
วิธีที่ 1 (ใช้ RU-486 1 เม็ด + cytotec 6 เม็ด 
1. กินยาRU-486 1 เม็ด (Mifepristone 200mg) ยานี้จะไปขวางกั้นประสิทธิภาพของโปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนที่จำเป็นในการตั้งครรภ์
2. อีก 24 ชั่วโมงต่อมา อม cytoec (Misoprostol)  4 เม็ดใต้ลิ้น และทิ้งไว้อย่างนั้นอย่างน้อย 30 นาที จนกว่ายาจะละลายไปจนหมด ในระหว่างนี้ คุณสามารถกลืนน้ำลายได้ และหลังจาก 30 นาทีไปแล้ว คุณสามารถกลืนส่วนที่เหลือของยาลงไป
3. 4 ชั่วโมงหลังจากใช้ไซโตเทคโดสแรกไปแล้ว อมไซโตเทค อีก 2เม็ดใต้ลิ้นให้ครบ 30 นาที ก่อนกลืนยา 
 วิธีที่ 2 (ใช้ RU-486 1 เม็ด + cytotec 4 เม็ด )
1. กินยา RU-486 (Mifepristone 200mg) 1 เม็ด
2. อีก 24 ชั่วโมงต่อมา สอด cytotec (Misoprostol)  2 เม็ดทางช่องคลอด โดยสอดยาให้ลึกที่สุด ดันเม็ดยาให้แน่น ตำแหน่งของยาอยู่ใต้ปากมดลูก

3. อีก 12 ชั่วโมง สอดยาไซโตเทคอีก 2 เม็ด


อายุครร์เกิน 9 สัปดาห์
ใช้ยาสอดทำแท้งไซโตเทค (ไม่ใช้อาร์ยู486) โดยสอดยาทางช่องคลอดครั้งละ 2 เม็ด ห่างกันทุก 12 ชั่วโมง
ท้อง 3 เดือน ใช้ยาสอด 6 เม็ด
ท้อง เดือน ใช้ยาสอด เม็ด
ท้อง เดือน ใช้ยาสอด 10 เม็ด
ท้อง เดือน ใช้ยาสอด 12 เม็ด
 ในกรณีท้องไม่เกิน 9 สัปดาห์
24 ชั่วโมงหลังจากกินอาร์ยู486ไปแล้ว การใช้ไซโตเทคทำได้ถึง 3 วิธีคือ อมใต้ลิ้น เหน็บช่องคลอด หรืออมไว้ที่กระพุ้งแก้ม วิธีการเหล่านี้มีผลดีเท่าเทียมกัน แต่ต้องใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น อย่าเปลี่ยนวิธี
แนะนำว่าคุณควรจะใช้วิธีอมใต้ลิ้นดีที่สุด เพราะการอมใต้ลิ้นจะทำให้ไม่เหลือเศษยาไว้เป็นหลักฐานถ้าจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลในภายหลัง การตรวจเลือดก็ไม่สามารถตรวจพบได้ว่าได้ใช้ยาทำแท้ง ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานที่จะบอกได้ว่าคุณพยายามทำแท้งด้วยตนเองมา
ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องบอกเจ้าหน้าที่ว่าคุณพยายามทำแท้งมา บอกไปเลยว่าอยู่ดีๆ เกิดแท้งขึ้นมาเอง (แท้งโดยธรรมชาติ) หมอจะไม่สามารถเห็นความแตกต่างได้เลย และการรักษาก็ใช้วิธีเดียวกัน การรักษาที่ใช้คือการขูดมดลูก ซึ่งหมอจะนำเอาสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในมดลูกออกไป ซึ่งการรักษาคนที่เกิดอาการแท้งนั้น หมอจะรับรักษาในทุกกรณีอยู่แล้ว
 ประสิทธิภาพของการอมใต้ลิ้น และ การอมไว้ที่กระพุ้งแก้มอยู่ที่ 95% ประสิทธิภาพของการเหน็บยาจะอยู่ที่ 93% ถ้าใช้การอมใต้ลิ้นหรือกระพุ้งแก้มอาจมีอาการคลื่นใส้อาเจียนประมาณ 70% และถ้าใช้วิธีเหน็บจะมีอาการคลื่นใส้อาเจียนน้อยกว่าคือ 62% 
ถ้าคุณอยากใช้แบบเหน็บช่องคลอด ควรจะดันยาไซโตเทคเข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งถึงที่ใต้ปากมดลูก
ถ้า, ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม หลังจากคุณได้กินRU-486ไปแล้วและตัดสินใจว่าคุณจะไม่ใช้ cytotec ตามสูตรยาเพื่อทำแท้ง อาจจะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นได้
คุณอาจจะแท้งอย่างสมบูรณ์แม้ว่าไม่ได้ใช้ไซโตเทคก็ตาม
คุณอาจจะเกิดการแท้งค้าง ซึ่งหมายถึงว่าตัวอ่อนไม่เติบโตต่อไปแล้ว แต่ส่วนอื่นๆ ของครรภ์ เช่น เลือด เนื้อเยื่อ ไม่ได้ออกจากร่างกายของคุณ ซึ่งจะต้องรักษาโดยใช้วิธีการดูดเพื่อนำส่วนเหล่านี้ออกมา
การตั้งครรภ์ของคุณอาจจะดำรงอยู่ต่อไป ถ้าคุณตัดสินใจว่าคุณต้องการจะยังตั้งครรภ์ต่อในตอนนั้น มีความเป็นไปได้น้อยมากที่อาร์ยู-486จะทำให้เกิดการเติบโตของตัวอ่อนอย่างผิดปกติ
คุณไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุณสามารถกินอาหารหรือดื่มน้ำต่างๆได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามผู้หญิงบางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้จากการใช้ไซโตเทค จึงควรจะกินแต่น้อย







การทำแท้ง

การทำแท้ง
การแท้ง คือการยุติการตั้งครรภ์ที่ระยะใดก็ตามที่ไม่ทำให้เกิดการเกิดรอด มักจะหมายถึงการยุติการตั้งครรภ์โดยการขับหรือนำเอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์ออกจากมดลูกก่อนที่เอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์นั้นจะสามารถอยู่รอดได้ การแท้งอาจเกิดขึ้นเองหรือเกิดจากการทำแท้งด้วยสารเคมีหรือศัลยกรรมก็ได้ การทำแท้งส่วนใหญ่กระทำโดยสูตินรีแพทย์ โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดสามารถแท้งได้
การทำแท้งอย่างถูกกฎหมายในประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นหัตถการหนึ่งในทางการแพทย์ที่ปลอดภัยมาก การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย(เช่น ทำโดยผู้ที่ไม่ได้รับการอบรมฝึกฝนมาอย่างถูกต้อง)ทำให้มารดาเสียชีวิตถึง 70,000 ราย และทุพพลภาพ ถึง 5,000,000 รายจากทั่วโลก ในแต่ละปีมีการทำแท้งเกิดขึ้น 42,000,000 ครั้งทั่วโลก โดยในจำนวนนี้มีถึง 20,000,000 ครั้งที่ทำโดยไม่ปลอดภัย มีเพียงร้อยละ 49 ของประชากรหญิงทั่วโลกที่เข้าถึงการทำแท้งเพื่อการรักษาและการทำแท้งโดยสมัครใจในอายุครรภ์ที่เหมาะสม

ประเภทของการทำแท้ง

การทำแท้ง

ในแต่ละปีมนุษย์ทั่วโลกมีการตั้งครรภ์ 205 ล้านครั้ง มากกว่าหนึ่งในสามเกิดขึ้นโดยไม่ได้วางแผนและประมาณหนึ่งในห้าสิ้นสุดด้วยการทำแท้ง การทำแท้งส่วนมากเกิดในการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผน การทำแท้งสามารถทำได้หลายวิธีการตามความเหมาะสมของอายุครรภ์ที่แปรผันตามขนาดตัวเอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์ วิธีการที่เหมาะสมอาจจะต่างไปตามแต่ความนิยมของแพทย์และผู้ป่วย ความจำกัดในแต่ละท้องที่และตามกฎหมายบัญญัติได้ การทำแท้งมีข้อบ่งชี้เพื่อการรักษาและตามความสมัครใจ การทำแท้งเพื่อการรักษาหมายถึงการทำแท้งที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เพื่อรักษาชีวิตและสุขภาพกายและจิตของมารดา ยุติการตั้งครรภ์ทารกที่มีความเสี่ยงที่จะทุพพลภาพ เจ็บป่วย หรือตายก่อนกำหนด หรือเพื่อลดจำนวนทารกในครรภ์ในกรณีการตั้งครรภ์แฝดเพื่อลดความเสี่ยงทางสุขภาพ ส่วนการทำแท้งตามความสมัครใจหมายถึงการทำแท้งที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และเป็นไปตามความประสงค์ของสตรี

การแท้งเอง

การแท้งเองคือการแท้งที่เกิดขึ้นโดยไม่เจตนา โดยมดลูกขับเอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์ออกก่อนอายุครรภ์ครบ 20 หรือ 22 สัปดาห์ การตั้งครรภ์ที่สิ้นสุดก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ และเกิดรอดเป็นทารกเรียกว่าการคลอดก่อนกำหนด แต่หากทารกในครรภ์เสียชีวิตในขณะคลอดหรือก่อนคลอดจะเรียกว่าทารกตายคลอด ทั้งการคลอดก่อนกำหนดและทารกตายคลอดไม่ถือว่าเป็นการแท้งเอง ร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 50 ของการปฏิสนธิอยู่รอดถึงไตรมาสแรก ในขณะที่ส่วนที่เหลือแท้งไปตั้งแต่ผู้หญิงยังไม่ทราบว่าตนตั้งครรภ์ และมีการตั้งครรภ์หลายครั้งที่แท้งไปก่อนที่แพทย์จะตรวจพบเอ็มบริโอ การตั้งครรภ์ที่ตรวจพบแล้วจะสิ้นสุดด้วยการแท้งเองถึงร้อยละ 15-30 ตามสุขภาพและอายุของสตรีที่ตั้งครรภ์ เหตุการแท้งเองส่วนใหญ่(ร้อยละ 50)ในช่วงไตรมาสแรก คือ ความผิดปกติของโครโมโซมของเอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์ สาเหตุอื่นๆในมารดาได้แก่ โรคทางระบบเส้นเลือด(เช่นโรคลูปัส) เบาหวาน ความผิดปกติของฮอร์โมน การติดเชื้อ และความผิดปกติของมดลูก ประวัติการตั้งครรภ์เมื่ออายุมากและประวัติการแท้งเองในอดีตเป็นสองปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการแท้งเอง การแท้งเองอาจจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุต่อร่างกายหรือความเครียด การจงใจก่อความเครียดหรือความรุนแรงเพื่อการแท้งเองถือเป็นการทำแท้งหรือการทำลายทารกในครรภ์

วิธีการทำแท้ง

การทำแท้งด้วยยา

การทำแท้งด้วยยาคือการทำแท้งที่ไม่ใช้ศัลยกรรมแต่ใช้ยาที่เรียกว่า "ยาแท้ง" การทำแท้งด้วยยาคิดเป็นร้อยละ 13 ของการทำแท้งทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2548 โดยเพิ่มเป็นร้อยละ 17 ในปี พ.ศ. 2553 สูตรยาผสมที่ใช้ในการทำแท้งประกอบด้วยยาเมโธเทร็กเสท(methotrexate)หรือไมฟิพริสโตน(mifepristone) ตามด้วยการใช้ยากลุ่มพรอสตาแกลนดิน คือยามิโซโพรสตอล(misoprostol : เป็นยาที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา) หรือยาแกมีพรอสต์( gemeprost : เป็นยาที่ใช้ในสหราชอาณาจักรและสวีเดน) เมื่อใช้สูตรยานี้ภายใน 49 วันหลังการปฏิสนธิ ประมาณร้อยละ 92 ของผู้ที่รับประทานยาครบตามสูตรยาผสมจะทำแท้งสำเร็จโดยไม่ต้องใช้ศัลยกรรม ยามิโซโพรสตอลสามารถนำมาใช้เป็นยาเดี่ยวได้แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าสูตรยาผสม ในกรณีที่การทำแท้งด้วยยาล้มเหลวต้องมีการทำแท้งด้วยศัลยกรรมต่อเพื่อยุติการตั้งครรภ์

การทำแท้งด้วยศัลยกรรม

ในระยะ 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ การใช้เครื่องสุญญากาศดูดเอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์ออกเป็นวิธีการทำแท้งที่พบบ่อยที่สุด เครื่องดูดสุญญากาศด้วยมือ (Manual vacuum aspiration : MVA หรือ mini-suction หรือ menstrual extraction) จะดูดเอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์ออกพร้อมรกและเยื่อหุ้มด้วยกระบอกฉีดยา ในขณะที่เครื่องดูดสุญญากาศไฟฟ้า (electric vacuum aspiration : EVA) จะดูดด้วยแรงจากเครื่องดูดไฟฟ้า วิธีการทั้งสองนี้คล้ายกันต่างแต่เพียงกลไกการดูด อายุครรภ์น้อยที่สุดที่สามารถใช้ได้และความจำเป็นในการขยายขนาดปากมดลูก เครื่องดูดสุญญากาศด้วยมือสามารถนำไปใช้ได้ในการตั้งครรภ์ระยะต้นๆและไม่ต้องขยายขนาดปากมดลูก
การทำแท้งในอายุครรภ์ 15-26 สัปดาห์ใช้วิธีถ่างขยายปากมดลูกแล้วถ่ายทารกในครรภ์ออก (dilation and evacuation : D&E) ซึ่งทำโดยการถ่ายขยายปากมดลูกแล้วใช้เครื่องมือทางศัลยกรรมหรือเครื่องดูด ดูดทารกในครรภ์ออก หรือใช้วิธีถ่างขยายปากมดลูกแล้วขูด (Dilation and curettage : D&C) หรือการขูดมดลูก ซึ่งคือการทำให้ผนังมดลูกเกลี้ยงด้วยเครื่องมือขูดและเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมรองลงมาในการทำแท้งด้วยศัลยกรรม วิธีนี้เป็นหัตการพื้นฐานทางนรีเวชวิทยาเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เก็บเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อส่งตรวจคัดกรองมะร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อวินิจฉัยภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด และเพื่อทำแท้ง โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้วิธีการขูดมดลูกเฉพาะเมื่อไม่มีเครื่องดูดสุญญากาศด้วยมือเท่านั้น
การทำแท้งในระยะไตรมาสที่สองต้องใช้วิธีอื่นๆ เช่น การชักนำให้คลอดก่อนกำหนดด้วยยาพรอสตาแกลนดินซึ่งอาจให้ร่วมกับการฉีดสารความดันออสโมซิสสูงที่ประกอบด้วยน้ำเกลือ หรือยูเรียเข้าในนำคร่ำ การทำแท้งที่อายุครรภ์มากกว่า 16 สัปดาห์อาจใช้วิธี partial-birth abortion/intrauterine cranial decompression/intact dilation and extraction : IDX ซึ่งมีการทำลายศีรษะทารกในครรภ์ด้วยวิธีทางศัลยกรรมก่อนถ่ายทารกในครรภ์ออก นอกจากนี้ในระยะท้ายของการตั้งครรภ์อาจจะใช้วิธีการผ่ามดลูก (hysterotomy abortion) ซึ่งมีวิธีการคล้ายกับการผ่าท้องคลอดขณะให้ยาสลบทั่วไป โดยจะมีการเปิดแผลผ่าตัดเล็กกว่าการผ่าท้องคลอด


ราชวิทยาลัยสูติแพทย์และนรีแพทย์ได้แนะนำวิธีการฉีดยาเพื่อหยุดการทำงานของหัวใจทารกในครรภ์ในระยะแรกของการทำแท้งด้วยวิธีทางศัลยกรรมเพื่อให้แน่นอนว่าทารกในครรภ์จะไม่เกิดรอด


ท้องไม่พร้อม ปัญหาหนักใจของวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควร

ท้องไม่พร้อม ปัญหาหนักใจของวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควร




ท้องไม่พร้อม ปัญหาหนักใจของวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควรสังคมไทยในปัจจุบันนี้ เรื่องปัญหาเด็กที่ท้องไม่พร้อมหรือตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรมีสูงมาก เพราะการคบเพื่อนต่างเพศเป็นเรื่องที่ปกติของวัยรุ่น เด็กบางคนมีอิสระในการใช้ชีวิต สามารถทำอะไรได้ตามใจตัวเองมากขึ้น และเรื่องเทคโนโลยีก็ก้าวหน้าไปมากทำให้การติดต่อสื่อสารกันระหว่างเพื่อนต่างเพศเป็นเรื่องที่ง่ายมาก การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร คือการตั้งครรภ์ที่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายยังไม่พร้อม  ในช่วงวัยรุ่นการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ทางร่างกายทำให้เกิดความพร้อม ทางภาวการณ์เจริญพันธุ์สูงมาก และส่วนมากยังเป็นนักเรียนอยู่ เมื่อเกิดการตั้งครรภ์ อาจจะต้องออกจากโรงเรียน บางคนตัดสินใจด้วยการทำแท้งซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดทางศีลธรรมอย่างมาก การทำแท้งจะส่งผลกระทบจิตใจต่อผู้ทำและยังส่งผลเสียต่อด้านร่างกายอีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นไทยท้องไม่พร้อม หรือตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร มีหลายสาเหตุดังนี้

 ·       ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีและขาดการเอาใจใส่จากพ่อและแม่
·         ขาดการชี้แนะเรื่องเพศสัมพันธ์จากพ่อแม่หรือคนเลี้ยงดู ทำให้เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องปิด
·         เด็กใช้เวลาส่วนมากหมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากเกินไป เช่น การใช้งานอินเตอร์เน็ต การดูหนังสือที่ไม่เหมาะสม
·         การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนทางด้านอารมณ์ของวัยรุ่น
·         ไม่มีความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้อง
·         สภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ เช่น การอยู่หอพักคนเดียว หรือ การเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
·         สื่อต่างๆที่ในปัจจุบันเข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายขึ้น เช่น สื่อลามก หนังสือ ซีดี
·         การอยู่กันสองต่อสองในที่ลับตาคน
·         การใช้สารเสพติด หรือ พวกเครื่องดื่มมึนเมาจนทำให้ขาดสติ
·         การเลียนแบบวัฒนธรรมที่ผิดๆจากต่างประเทศ เช่น การอยู่กินกันก่อน การมีเพศสัมพันธ์แบบเก็บแต้ม หรือการลองมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อน
·         คลั่งวัตถุนิยมจนต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้สิ่งของตามที่ต้องการ เช่น ยอมนอนกับผู้ชายเพื่อจะได้เงิน

ผลที่เกิดขึ้นจากการท้องไม่พร้อม หรือตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรมีดังนี้

·         เสียการเรียน เมื่อมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นจิตใจของฝ่ายหญิงที่ยังไม่พร้อมจะมีลูก ก็จะไม่มีความต้องการเรียนรู้สิ่งใดๆเลย จนในที่สุดจะเป็นปัญหาของการขาดเรียน โดดเรียน บางคนต้องลาออกจากทางโรงเรียน ปัญหาตรงนี้จะกระทบกับฝ่ายหญิงเป็นส่วนมาก ฝ่ายชายอาจจะยังเรียนต่อได้ตามปกติ
·         อาจเกิดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ วัยรุ่นส่วนมากมักจะไม่ค่อยรู้จักการป้องกันเมื่อต้องการมีเพศสัมพันธ์ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคจากอีกฝ่ายจึงเป็นเรื่องง่าย เช่น กามโรค โรคเอดส์ ในส่วนของโรคเอดส์เป็นโรคที่ร้ายแรงมากเพราะยังไม่มีการรักษาที่หายขาดได้ ไม่มีวัคซีนป้องกัน และถ้าหากฝ่ายหญิงตั้งท้องยังส่งผลให้เด็กในครรภ์เป็นโรคไปด้วย
·         สร้างความทุกข์ใจให้กับพ่อแม่ เพราะคนเป็นพ่อแม่ย่อมต้องการเห็นอนาคตที่สดใสของลูก แต่เมื่อลูกท้องไม่พร้อมหรือตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรจึงเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านทุกข์ใจมากเลยนะคะ
·         เกิดความขัดแย้งในครอบครัว เกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงดูเด็กและเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องเกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวเด็กที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะถ้าหากท้องไม่พร้อม สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะไม่พร้อมเช่นกัน
·         เกิดปัญหาหย่าร้างสูงมาก เพราะเด็กที่ท้องไม่พร้อม ส่วนมากยังอยู่ในช่วงวัยเรียนหนังสือยังขาดความรับผิดชอบอยู่ และบางคู่ก็ไม่ได้ตั้งครรภ์เพราะความรัก แต่เป็นเพียงการอยากลองจึงทำให้ยังไม่พร้อมในการมีครอบครัว
การแก้ไขปัญหาวัยรุ่นท้องไม่พร้อม

           สามารถทำได้จากหลายทาง เช่น ครอบครัวควรให้ความรักและเอาใจใสบุตรหลานให้มาก ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่กับตัวเองมากเกินไป สถาบันการศึกษาก็มีส่วนสำคัญมากเพราะเป็นที่ๆ เด็กใช้เวลาอยู่มากพอๆ กับอยู่บ้าน ควรจะสอนหรือแนะนำการใช้ชีวิตและวิธีการมีเพศสัมพันธ์รวมไปถึงการป้องกันอย่างละเอียด ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันก็จะสามารถป้องกันปัญหาการท้องไม่พร้อมของเด็กวัยรุ่นได้มากเลยค่ะ

ที่มา : http://www.maerakluke.com/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3/

สื่อออนไลน์ ประโยชน์เยอะ ภัยร้ายแยะ

สื่อออนไลน์
ประโยชน์เยอะ ภัยร้ายแยะ



 
          หากมองย้อนกลับไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงคำว่า เครือข่ายสังคมที่เต็มไปด้วยกลุ่มวัยรุ่นที่ทำกิจกรรมติดต่อสื่อสาร พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความบันเทิง หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เน้นไปที่การกระจายตัว ความเป็นเมืองไปยังพื้นที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง การค้าและบริการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เราสามารถเข้าถึงบริการด้านข้อมูลข่าวสาร และการติดต่อสื่อสารในยุคการเชื่อมต่อไร้สายผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้มากขึ้น ทั้งนี้ จากการประชุมวิชาการระดับชาติสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 11 เรื่อง ความหลากหลายทางประชากรและสังคมในประเทศไทย ณ ปี 2558” โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2554 – 2557 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากลุ่มที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มวัยรุ่น แต่มีการขยายตัวไปยังกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นด้วย
ใครเป็นใครบนเครือข่ายสังคมออนไลน์
          ผลการวิจัยเรื่อง ใครเป็นใครบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ : ความหลากหลายทางคุณลักษณะและพฤติธรรมของ ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า กลุ่มประชากรที่ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มเยาวชน (อายุ 15 – 24 ปี) แต่มีการขยายตัวของจำนวนผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ไปกลุ่มอื่นๆ อีกด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
ดร.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มที่มาแรงที่สุด คือกลุ่มผู้สูงอายุ มีการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 95 ในการเข้าไปเป็นสมาชิกของสังคมออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบว่า การเพิ่มขึ้นของความถี่ในการเข้าไปใช้งานและระยะเวลาการใช้งานต่อช่วงวันเพิ่มขึ้นด้วย จากเดิมวันละ 1 ชั่วโมง เพิ่มเป็นสูงสุดวันละ 7 ชั่วโมง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เอนซีดี (NCDs) ที่เกิดจากการอยู่นิ่งๆ นานๆ  ขณะที่วัตถุประสงค์การใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการใช้เพื่อความบันเทิง ติดตามข้อมูลข่าวสาร และการสนทนา

ภัยร้ายออนไลน์ในวัยรุ่นไทย
เครือข่ายสังคมออนไลน์กลายเป็นสังคมที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น และมีความหลากหลายทั้งในแง่คุณลักษณะทางเพศและอายุ ตลอดจนวัตถุประสงค์การใช้งาน ที่นับวันภาพของ สังคมออนไลน์ก็จะยิ่งสะท้อนภาพของคนใน สังคมไทยเข้าไปทุกที
ขณะเดียวกัน ผลวิจัยเรื่อง วัยรุ่นใช้สื่อออนไลน์อย่างไรในการหาคู่ของ นิพนธ์ ดาราวุฒิมาประกรณ์ นักวิจัยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบความน่าเป็นห่วง คือกลุ่มวัยรุ่นใช้สื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ ในการหา กิ๊กและคู่นอน โดยพฤติกรรมการมีแฟนและเพศสัมพันธ์แบ่งเป็นกลุ่ม 4 กลุ่ม คือ (1) มีแฟนทีละคนไม่มีกิ๊ก หรือกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สื่อออนไลน์ในการพูดคุยกับเพื่อนทั่วไปเท่านั้น (2) มีแฟนและกิ๊กแต่จะมีเพศสัมพันธ์กับแฟนคนเดียว คือกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการคุยกับกิ๊ก แต่ไม่คุยเพื่อจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย และไม่ใช้สื่อออนไลน์ในการหาคู่ (3) มีแฟนและกิ๊ก และมีเพศสัมพันธ์กับทุกคน และ (4) มีเพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องแฟนหรือกิ๊ก สองกลุ่มหลังนี้คือ กลุ่มที่ใช้สื่ออนไลน์ในการติดต่อกัน เพื่อนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ โดยวัยรุ่นชายจะใช้สื่อออนไลน์ในการหาคู่ชัดเจรกว่าวัยรุ่นหญิง อีกทั้งใช้เวลาพูดคุยทำความรู้จักไม่นานก่อนการมีเพศสัมพันธ์

เจ้าของงานวิจัยเรื่อง วัยรุ่นใช้สื่อออนไลน์อย่างไรในการหาคู่ให้ความเห็นว่า โดยปกติแล้ว ผู้ชายส่วนใหญ่จะสามารถหาคู่ได้ง่ายกว่าผู้หญิง ผู้ชายสามารถมีเซ็กส์กับแฟนตัวเอง เพื่อนคนรู้จัก รวมทั้งพนักงานบริการ ขณะเดียวกัน ผู้หญิงสามารถมีเซ็กส์ได้กับแฟนตัวเอง สามี ส่วนคนรู้จักอาจถูกบังคับหรือไม่เต็มใจ ทั้งนี้ ผู้ชายจะมีความตั้งใจในการมีเซ็กส์มากกว่าผู้หญิง

ความขัดแย้งบนโลกออนไลน์ สู่โลกความเป็นจริง
จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาอย่างก้าวล้ำ สื่อสังคมออนไลน์กลับส่งผลไปในการลบต่อชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ของคนในสังคมอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จนกลายเป็นประเด็นทางสังคม ที่ทั้งสื่อ กฎหมายและประชาชนเองจะต้องให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้เวลาไปกับสื่อออนไลน์วันละ หลายชั่วโมง จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท จนถึงขั้นทำร้ายร่างกายตามมา
จากผลการวิจัยหัวข้อ เหวี่ยงและ วีนออนไลน์... ความขัดแย้งและการวิวาทในสื่อสังคมของวัยรุ่นของผศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ความขัดแย้งในกลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนและคนรัก การแข่งขันในการเรียน และสถานภาพทางสังคม

การที่ไม่มีตัวตน หรือมีตัวตนซ่อนเร้นในโลกออนไลน์ ทำให้คนมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดง ความแรงออกมาในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะในสังคมวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีการสื่อสารห้วนขึ้น สั้นขึ้น แรงขึ้น หรือวัฒนธรรมแบบสามคำสี่พยางค์ อย่างเวลาที่เราพูดห้วนๆ จะมีความแรงอยู่ด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การวิวาทง่ายขึ้นผศ.ดร. ภูเบศร์ กล่าวและว่า การทะเลาะวิวาท ในสังคมออนไลน์มีหลายกรณี เช่น ทะเลาะในเฟซบุ๊กแล้วไปต่อในไลน์ หรือ ทะเลาะในไลน์แล้วไปต่อในต่อในเฟซบุ๊ก แล้วออกมาเคลียร์กันตัวต่อตัวจากความรุนแรงทางความสัมพันธ์ในการสื่อสาร กลายเป็นความรุนแรงทางกายภาพ